ดื่มกาแฟกันมานาน บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ากาแฟมีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศอาระเบีย (Arabia) ถูกค้นพบครั้งแรกประมาณปี ค.ศ. 575 ที่เมืองอาบีซีเนีย (Abyssinia) และอาราเบีย (Arabia) แต่บางข้อมูลก็บอกว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศเอธิโอเปีย (Ethiopia) ที่เมืองคัฟฟา (Kaffa)
ไม่ว่ากาแฟจะมีแหล่งกำเนิดจากที่ไหน ผ่านเวลามายาวนานอย่างไร คุณสมบัติของกาแฟก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือยังทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มกระตุ้นประสาทให้ร่างกายตื่นตัว เป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ช่วยผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ดังที่คนโบราณในอดีตได้นำเมล็ดกาแฟที่ตากแห้งแล้วมาบด และนำไปผสมกับน้ำมัน จากนั้นก็ปั้นเป็นลูกเล็ก ๆ ไว้สำหรับรับประทานหลังอาหารและเป็นยารักษาโรคไปในตัว
ผลผลิตจากเมล็ดกาแฟถูกนำไปต่อยอด พัฒนาและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเครื่องดื่มที่หลากหลายชนิด และทำให้วัฒนธรรมการดื่มกาแฟแผ่ขยายเป็นวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างสูง ทั้งในด้านการผลิต (ปลูก) การเก็บเกี่ยว การคั่ว การจัดเก็บ การแพ็ก รวมถึงการนำส่งไปยังลูกค้า เพื่อการันตีความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟที่ดี มีคุณภาพ
การคั่วกาแฟเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟให้มีความแตกต่าง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยทั่วไปการคั่วกาแฟจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ คือ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม
กาแฟที่คั่วอ่อน (Light roast) จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนปานกลาง บางคนเรียกสีอบเชย ผิวของเมล็ดกาแฟจะแห้งเพราะไม่มีน้ำมันเกาะติดเมล็ด รสชาติกาแฟจะมีความเปรี้ยว (Acidity) หวานและหอมเหมือนผลไม้ เพราะการคั่วระดับนี้จะยังคงกลิ่นของผลไม้ (เมล็ดกาแฟ) ไว้อยู่ เพียงแต่บอดี้ค่อนข้างบางเบา ความเข้มมีไม่มากนัก จึงเหมาะที่จะดื่มเป็นกาแฟร้อน ประเภทเอสเพรสโซหรืออเมริกาโนที่ไม่ใส่นมหรือน้ำตาล และยังเป็นกาแฟที่นิยมนำมาดริปกันอีกด้วย
การดื่มกาแฟคั่วอ่อนจะทำให้ผู้ดื่มรับรู้ได้ถึงเอกลักษณ์ของกาแฟที่แฝงกลิ่นและรสผลไม้อย่างชัดเจน ดื่มแล้วรู้สึกนุ่มชุ่มคอ เรียกว่าเข้าถึงลักษณะต้นกำเนิดของกลิ่นและรสกาแฟอย่างแท้จริง
กาแฟที่คั่วปานกลาง (Medium roast) จะมีเฉดสีน้ำตาลกลางไปถึงน้ำตาลเข้ม ผิวของเมล็ดจะเริ่มมีผิวมันอยู่บ้าง แต่ก็ยังแห้งอยู่ เพราะยังไม่มีน้ำมันเกาะติดเมล็ด แต่ความเปรี้ยวหวานแบบผลไม้จะลดลง และถูกทดแทนด้วยกลิ่นคาราเมลที่เข้มขึ้น คล้าย ๆ ช็อกโกแลตหรือถั่ว ความเข้มและบอดี้กาแฟอยู่ในระดับปานกลาง จึงเหมาะที่จะนำไปชงเป็นเครื่องดื่มร้อนแบบผสมนม เช่น คาปูชิโน มอคค่า ลาเต้ หรือนำไปชงเป็นเครื่องดื่มเย็นก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
การดื่มกาแฟคั่วปานกลางจะมีความสมดุลทางรสชาติที่ดี กลิ่นกาแฟหอม นุ่ม ละมุน จึงเป็นระดับการคั่วที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
กาแฟที่คั่วเข้ม (Dark roast) จะมีเฉดสีเข้มจัดจนเกือบดำ เมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันเกาะติดเคลือบผิวเป็นเงาอย่างชัดเจน เป็นไขมันดีที่คลายตัวออกมาจากเมล็ดกาแฟ ซึ่งไม่มีความเปรี้ยวหลงเหลืออีกต่อไป การคั่วแบบนี้จะทำให้มีบอดี้ที่หนักแน่น รสชาติกาแฟมีความเข้มมาก จึงนิยมนำมาชงเป็นเครื่องดื่มเย็น เช่น เอสเพรสโซเย็น
การดื่มกาแฟคั่วเข้มจะได้รสชาติความเข้มแบบสะใจ เรียกว่าได้ทั้งความแรงและความลึก ดื่มแล้วรู้สึกเหมือนมีรสชาติกาแฟติดค้างอยู่ในลำคอนานกว่าการคั่วระดับอื่น
แถมท้ายให้อีกหนึ่งประเภท คือกาแฟที่คั่วเข้มมาก (Very Dark roast) เป็นการคั่วแบบพิเศษที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวบุคคล เพื่อให้กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟและกลิ่นไหม้ผสมผสานกันอย่างลงตัว สีของเมล็ดกาแฟจะมีความเข้มมากจนเป็นสีดำ รสชาติมีความนุ่มลึกและเข้มชนิดที่ไม่เหลือความเปรี้ยวแม้แต่น้อย ส่วนใหญ่นิยมเอาไปบดใช้ในกาแฟเอสเพรสโซ ถึงแม้ว่าระดับการคั่วจะเป็นตัวกำหนดรสชาติของกาแฟที่แตกต่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถนำกาแฟที่คั่วแต่ละระดับนั้นมาปรับเปลี่ยนผสมผสาน หรือทำการเบลนด์ (Coffee blend) เพื่อสร้างรสชาติกาแฟใหม่ให้เป็นสูตรเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์ประจำร้านที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนต์เสน่ห์มัดใจลูกค้าให้หวนกลับมาหา วันแล้ววันเล่าต่อไปอีกยาวนาน