กาแฟ decaf กับสุขภาพ - กาแฟดอยไทย

กาแฟ decaf กับสุขภาพ

กาแฟปราศจากคาเฟอีนหรือ decaf เป็นกาแฟที่มีทั้งรสชาติและรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับกาแฟปกติทั่วไป แต่จะไม่มีคาเฟอีนอยู่ หรือมีก็จะมีคาเฟอีนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การได้รับคาเฟอีนนั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หรือคาเฟอีนไม่ดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด ในทางกลับกันนั้น คาเฟอีนจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพเสียด้วยซ้ำไป แล้วทำไมจึงยังมีกาแฟdecaf เกิดขึ้นมา

ในวันนี้ เราจะพาคุณมาสำรวจความแตกต่าง ระหว่างกาแฟdecaf  ซึ่งปราศจากคาเฟอีน กับกาแฟปกติ แล้วจะว่าด้วยเรื่องการดื่มกาแฟdecaf นั้น ดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพอย่างไร นอกจากนี้ เราจะมาคุยกันเรื่อง ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟdecaf รวมถึงประโยชน์ต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย

cup and coffee beans

กาแฟ decaf กับกาแฟปกติ

ได้มีข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ในปี 2017 ระบุว่า กาแฟdecaf นั้น มีองค์ประกอบคล้ายกับกาแฟปกติ แต่จะมีคาเฟอีนเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะไม่มีเลย และในกระบวนการขจัดคาเฟอีนนั้น ผู้ที่ทำการผลิตจะทำการแช่ หรืออบไอน้ำเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้คั่ว โดยอาจใช้น้ำหรือสารเคมีอื่น ๆ ผสมกัน เช่น อาจมีการใช้ถ่านกัมมันต์ กระบวนการ supercritical carbon dioxide เมทิลีนคลอไรด์ เอทิลอะซิเตท อีกทั้งผู้ผลิตยังใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่เชื่อถือได้ เพราะคาเฟอีนเป็นสารที่สามารถละลายในน้ำได้ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำในการขจัดเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะทำการขจัดสารประกอบอื่น ๆ ออกไปด้วย เช่น โปรตีน และน้ำตาล ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเมล็ดกาแฟ

การใช้สารเคมีเพิ่มเข้าไป จะไปเป็นการเร่งกระบวนการสกัดคาเฟอีนออก อีกทั้งยังเป็นการไปช่วยลดการสูญเสียสารประกอบอื่นที่ไม่ใช่คาเฟอีน และช่วยรักษารสชาติของเมล็ดกาแฟไว้ให้ยังคงชัดเจนเหมือนเดิม และไม่ว่ากระบวนการสกัดเอาคาเฟอีนออกนี้มักจะเกิดขึ้นก่อนการนำไปคั่ว แต่มีการศึกษาในปี 2018 ได้บอกไว้ว่า การขจัดคาเฟอีนออกนั้น จะสามารถทำได้มากขึ้นหาก ทำในเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วแล้ว

กาแฟ decaf ไม่ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่

จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ฉบับหนึ่งในปี 2017 ได้ทำการวิเคราะห์ และรายงานผลของการวิจัยเชิงสังเกตเกี่ยวกับการบริโภคกาแฟ โดยผู้เขียนได้สรุปว่า กาแฟ decaf นั้นไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการสกัดคาเฟอีนออกนั้น ใช้สารที่เรียกว่า เมทิลีนคลอไรด์ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้ที่ดื่มกาแฟและผู้บริโภคบางกลุ่มด้วย 

filter drip style

การสูดดมเมทิลีนคลอไรด์จำนวนเล็กน้อยในอากาศปริมาณ 200 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm) อาจส่งผลเสีย ทำให้ประสาทส่วนกลางช้าลงชั่วคราว และส่งผลต่อสมาธิของบุคคล รวมถึงภาวะการใช้มือและดวงตา การได้รับในปริมาณเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว มึนหัว ง่วงนอน อาจเกิดความหงุดหงิด เกิดอาการไอหรือหายใจมีเสียงหวีด ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้อนุมัติในการใช้เมทิลีนคลอไรด์สกัดเอาคาเฟอีนออก ตราบใดที่ในผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายนั้นมีเมทิลีนคลอไรด์คงเหลืออยู่ไม่เกิน 10 ppm หรือ 0.001 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสามารมีได้

เหลือคาเฟอีนในกาแฟ decaf มากน้อยแค่ไหน

แม้จะได้ชื่อว่ากาแฟdecaf หรือกาแฟปราศจากคาเฟอีน แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังคงมีปริมาณคาเฟอีนหลงเหลืออยู่บ้าง ตามที่กระทรวงการเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุไว้คือ กาแฟdecaf  1 แก้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาด 8 ออนซ์ จะประกอบไปด้วยคาเฟอีนปริมาณ 2 มิลลิกรัม แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนนี้อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ ในกาแฟdecaf บางยี่ห้อนั้นอาจมีคาเฟอีนสูงถึง 15 มิลลิกรัมต่อกาแฟ 1 แก้ว หรือ 8 ออนซ์

แม้ว่ากาแฟdecaf จะไม่ใช่กาแฟที่ปราศจากคาเฟอีน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟปกติอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในกาแฟปกตินั้น ต่อ 1 แก้ว หรือ 8 ออนซ์นั้น มักจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 80-100 มิลลิกรัม ในชาเขียวและชาดำก็ยังมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่ากาแฟdecaf อยู่ดี โดยทั้งชาเขียวและชาดำขนาดปกติหรือ 8 ออนซ์ โดยทั่วไปมักจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 30-50 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของกาแฟ decaf

ได้มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับกาแฟชนิดนี้ ชี้ให้เห็นว่า กาแฟนั้นมีสารประกอบอยู่มากมายหลากหลายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ได้มีงานวิจัยในปี 2017 ที่ได้มีการบอกไว้ว่า การดื่มกาแฟสามารถที่จะช่วยลดความเสี่ยงของบุคคลในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งช่องปาก

espresso machine

แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่นี้ยังได้พิจารณาถึงประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟปกติ โดยมีการศึกษาเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่เน้นไปถึงประโยชน์ที่ได้จากกาแฟdecaf โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่มีความชัดเจนว่าประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟปกติ จะขยายรวมไปถึงกาแฟปราศจากคาเฟอีน หรือกาแฟdecaf ด้วยหรือไม่

แต่จากงานวิจัยในปี 2017 นี้ได้พบความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มกาแฟdecaf กับการลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากสาเหตุโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย นักวิจัยได้สังเกตเห็นถึงการลดความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด หากดื่มกาแฟdecaf ในปริมาณ 2-4 แก้วต่อวัน

แต่สำหรับผู้ที่ต้องการลดการบริโภคคาเฟอีนนั้น การเลือกกาแฟdecaf ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะข้อดีหลัก ๆ ของกาแฟประเภทนี้คือ ปริมาณคาเฟอีนที่ต่ำมาก ๆ จนแทบไม่มีเลย

องค์การอาหารและยาได้แนะนำเกี่ยวกับปริมาณคาเฟอีน การจำกัดการบริโภคต่อวันในผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 4-5 แก้วกาแฟปกติ การบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในบางคน เช่น หากมีปัญหาหรือภาวการณ์นอน มีการปวดหัวคลื่นไส้ เกิดความกระวนกระวาย อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ในบางรายอาจมีการปวดท้อง มีความกังวล หรืออาจเกิดภาวะรู้สึกไม่มีความสุขขึ้น

องค์การอาหารและยายังแนะนำว่า สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่ให้นมบุตร หรือแม้แต่ผู้ที่ยามพยายามตั้งครรภ์ เหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับระดับคาเฟอีนที่ปลอดภัยที่จะสามารถบริโภคได้ แพทย์ยังแนะนำให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวจำกัดการบริโภคคาเฟอีน ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่มีภาวะนอนหลับยาก ภาวะวิตกกังวลหรือมีความเครียด ภาวะหัวใจและหลอดเลือด ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาจมีแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีอาการกรดไหลย้อน ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะบางตัว และยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด ซึ่งอาจสามารถมีผลข้างเคียงหากได้รับคาเฟอีนเข้าไป ดังนั้น แพทย์หรือเภสัชกรอาจจะแนะนำให้จำกัด หรืออาจให้หลีกเลี่ยงการรับคาเฟอีนในขณะที่ใช้ยาอยู่ไปเลย

ground and beans

สรุป

กาแฟdecaf หรือกาแฟปราศจากคาเฟอีนนั้น ยังคงมีปริมาณคาเฟอีนหลงเหลืออยู่ แต่มีน้อยมาก และมีแนวโน้มที่จะมีรสชาติคล้ายกับกาแฟปกติ

ถึงแม้บางคนจะมีความกังวลว่า การสกัดกาแฟปราศจากคาเฟอีนนั้นอาจมีการใช้สารประกอบเมทิลีนคลอไรด์ในกระบวนการ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในตัวทำละลาย ที่ผู้ผลิตใช้ในการกำจัดคาเฟอีนออก ที่ต้องระวังคือในส่วนนี้ เพราะว่าการได้รับสารเคมีตัวนี้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อื่นตามมา แต่อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาก็ยังไม่พิจารณาว่าสิ่งนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ และจำกัดความเข้มข้นในกาแฟdecaf ให้ต่ำกว่า 10 ppm และต้องทำอย่างเคร่งครัด

จากงานวิจัยอย่างชี้ให้เห็นว่า กาแฟปราศจากคาเฟอีนหรือdecaf นั้นไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างได้ และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย