เครื่องชงเอสเพรสโซ เลือกซื้อแบบไหนดี - กาแฟดอยไทย

เครื่องชงเอสเพรสโซ เลือกซื้อแบบไหนดี

เครื่องชงเอสเพรสโซ หรือ Espresso Machine มีให้เราเห็นกันทั่วไปตามร้านกาแฟไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จนหลายคนที่ดื่มเอสเพรสโซ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ทำจากเอสเพรสโซก็คงจะอยากหาเครื่อง Espresso Machine มาไว้ที่บ้านสักเครื่อง อย่างที่เขาว่า ทำเองถูกกว่า (จริงหรือ)

รู้หรือไม่ว่า เครื่องชงเอสเพรสโซ Espresso Machine มีหลายแบบมาก วิธีการทำงานของแต่ละแบบก็แตกต่างกัน ดังนั้นวันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ ประเภทต่าง ๆ ของ Espresso Machine มีกี่แบบ และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ ก่อนที่จะลงทุนซื้อติดบ้านไว้สักเครื่อง

Steam-Driven Machine (เครื่องชงเอสเพรสโซระบบไอน้ำ)

Steam espresso machine

ในปี 1884 Angelo Moriondo ได้ให้กำเนิด เครื่องชงเอสเพรสโซแบบเป็นเครื่องชงระบบไอน้ำ ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ สำหรับชงเอสเพรสโซออกมาได้ทันที เปิดตัวในงานนิทรรศการ Turin General Exposition ถือเป็นจุดกำเนิดของการชงกาแฟโดยใช้แรงดันเลย

เครื่อง Turin General Exposition ระบบไอน้ำนี้เป็นเครื่องที่ใช้ไฟฟ้า ยังคงใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้เลย ด้วยการใช้งานที่ค่อนข้างง่ายทำให้สะดวกต่อผู้ใช้มาก อีกทั้งยังบำรุงรักษาง่าย ราคาไม่ได้แพงมาก และกะทัดรัด สามารถเก็บได้ในพื้นที่ที่จำกัด

ระบบการทำงานของเครื่องชงระบบไอน้ำ น้ำจะถูกต้มในช่องที่ไม่มีอากาศเข้า เมื่อน้ำเดือดจะกลายเป็นไอน้ำ ไอน้ำที่ว่านี้ทำหน้าที่สร้างแรงดัน เมื่อเกิดแรงดัน น้ำจะไหลผ่านท่อแล้วทำการสกัดกาแฟออกมาได้ หลักการทำงานจะมีความคล้ายกับหม้อ Moka Pot เป็นอย่างมาก

ข้อเสียของเครื่องชงระบบไอน้ำคือ มีแรงดันที่ต่ำมาก อยู่ที่ประมาณเพียงแค่ 1-1.5 บาร์เท่านั้น เครื่องดื่มที่ได้ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าเอสเพรสโซได้ไหมด้วยซ้ำ เพราะตามหลักแล้ว เอสเพรสโซต้องถูกสร้างด้วยแรงดัน 9 บาร์ขึ้นไปต่อ 1 ช็อต

และเนื่องจากเราใช้ไอน้ำที่ได้จากน้ำเดือดในการสกัดกาแฟ อุณหภูมิของไอน้ำนั้นจะสูง หมายความว่าเราจะต้องใช้น้ำร้อนจัดในการสกัดกาแฟของเรา สิ่งนี้อาจทำให้กาแฟของเรารสชาติออกมาไม่ดีมากนัก เพราะอาจเกิดการสกัดมากจนเกินไป นอกจากเราจะได้คุณภาพการชงที่ชงด้วยแรงดันต่ำแล้ว อุณหภูมิที่ใช้ยังสูงอีก แบบนี้ไม่น่าดีนักต่อการชงกาแฟของเรา

เครื่องชงเอสเพรสโซระบบไอน้ำเหมาะกับผู้ที่อยากดื่มกาแฟ แต่ไม่อยากที่จะลงทุนมากจนเกินไป หากกลัวที่จะสกัดกาแฟออกมามากจนเกินไป อาจจะทดลองเปลี่ยนเบอร์บดดูก็ได้ ให้ลองบดกาแฟให้มีความหยาบมากขึ้น หากหาจุดลงตัวได้ อาจจะแก้ปัญหาการสกัดมากจนเกินไปก็ได้

Lever-Driven Machine (เครื่องชงเอสเพรสโซแบบก้านโยก)

Lever espresso machine

เครื่องชงแบบก้านโยกนี้เป็นเครื่องชงเอสเพรสโซที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า เป็นระบบที่ใช้แรงของเราในการเพิ่มแรงดันในการสกัดเอาเองเพื่อดึงช็อต มีอยู่ด้วยกัน 2 ปะเภท คือแบบแมนนวลและแบบสปริง

เครื่องชงแบบแมนนวลนั้น คันโยกจะชี้ลงข้างล่าง เมื่อดึงคันโยกขึ้น น้ำที่อยู่ในหม้อต้มจะไหลเข้ามาสู่พื้นที่สกัด เพื่อทำการสกัดกาแฟของเรา เราสามารถที่จะควบคุมระยะเวลาในการแช่กาแฟ อัตราการไหลของกาแฟ และแรงดันได้ โดยการกดคันโยก หากค่อย ๆ กด แรงดันจะน้อยและใช้เวลานาน แต่หากเรากดเร็วและแรง จะใช้แรงดันที่มากขึ้น

ระบบสปริงจะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย โดยบริเวณคันโยกแทนที่จะชี้ลงด้านล่าง แบบสปริงจะชี้ขึ้นด้านบน เมื่อคันโยกชี้ขึ้นด้านบน สปริงจะคลายตัว เราจะดึงคันโยกเพื่อให้สปริงบีบตัวและยกลูกสูบขึ้น เช่นกัน วิธีนี้จะทำให้น้ำที่อยู่ในหม้อต้มไหลลงมาในส่วนสกัด จากนั้นเราจะปล่อยให้สปริงค่อย ๆ คลาย ลูกสูบจะค่อย ๆ ดันน้ำลงมา และในที่สุดก็ดึงช็อตเอสเพรสโซได้

ด้วยความที่เป็นเครื่องชงแบบก้านโยก สามารถทำให้เราควบคุมปัจจัยบางอย่างได้  อย่างเราอาจอยากแช่กาแฟไว้สักระยะหนึ่ง หรืออาจอยากดึงรสชาติออกมามากขึ้นด้วยการใช้แรงดันที่มากก็สามารถทำได้ และเข้าใจได้ง่ายด้วย เครื่องชงแบบนี้เปิดโอกาสให้ผู้ชงได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในกาแฟได้

อีกอย่าง เครื่องชงแบบคันโยกเป็นเครื่องชงที่มีความสวยงามสะดุดตา เรามักไม่ค่อยพบเจอในร้านกาแฟมากนัก โดยเฉพาะร้านสปีดบาร์ที่ต้องการความเร่งด่วน ตาหากคุณชอบความแมนนวลและอยากได้เอสเพรสโซทำมือ เครื่องนี้เหมาะกับคุณแน่นอน

แต่ข้อจำกัดที่ควรรู้ของเครื่องชงแบบนี้ก็มีเช่นกัน เนื่องจากเราใช้แรงของเราในการเพิ่มแรงดัน ดังนั้นเราจึงควบคุมตัวแปรในเรื่องของแรงดันได้ค่อนข้างยาก นั่นอาจทำให้การสกัดกาแฟของเราไม่คงที่ในทุก ๆ แก้วได้ (แต่ถ้าฝึกฝนบ่อย ๆ ก็น่าจะพอเท่ากันได้) อีกเรื่องคือเรื่องของหม้อต้ม เนื่องจากมีหม้อต้มเพียงตัวเดียว ก่อนที่น้ำจะถึงกาแฟและทำการสกัดเราจะควบคุมอุณหภูมิได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นปัญหาอีกเรื่องให้ไม่สามารถที่จะควบคุมความสม่ำเสมอได้

ซึ่งเรื่องของความสม่ำเสมอในกระบวนการสกัดกาแฟนั้น หมายความว่า ไม่ว่าเราจะทำกาแฟออกมากี่แก้ว การควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ตามที่เราต้องการ เพื่อให้ไม่ว่าชงกาแฟกี่ครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง สิ่งนี้เป็นสิงที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับการชงกาแฟให้ลูกค้า

Pump-Driven Machine (เครื่องชงเอสเพรสโซระบบปั๊ม)

Espresso machine

เครื่องชงระบบนี้นับว่ามีมานานมากแล้ว ตั้งแต่ช่วงปี 1960 และได้กลายเป็นเครื่องชงประเภทที่ครองตลาดใหญ่ ที่เรามักพบเห็นได้บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตามร้านกาแฟ หรือแม้แต่ตามบ้างทั่วไป กระบวนการทำงาน จะมีปั๊มอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะทไหน้าที่ปั๊มน้ำจากหม้อต้มให้เข้ามาในส่วนสกัดกาแฟ และด้วยเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์นี้เอง ทำให้ได้แรงดันที่สม่ำเสมอ

ในปัจจุบันนั้น มีเครื่องชงระบบปั๊มอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ semi-automatic (ประเภทกึ่งอัตโนมัติ), automatic (ประเภทอัตโนมัติ) และ super-automatic (ประเภทอัตโนมัติสมบูรณ์) ภายในของแต่ละประเภท จะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นประเภทของปั๊ม จำนวนหม้อน้ำ การเขียนโปรแกรมเพื่อนำมาใช้ในการสกัดกาแฟ โดยแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้

Semi-Automatic Machine (ประเภทกึ่งอัตโนมัติ)

เครื่องชงแบบกึ่งอัตโนมัตินี้สามารถพบได้ในเครื่องที่ใช้ในบ้าน หรือร้านกาแฟหลายแห่ง เราต้องทำการบดเมล็ดกาแฟ แทมปิ้งผงกาแฟในก้านชง และควบคุมเวลาที่ใช้ในการสกัดด้วยตนเอง เครื่องเพียงแค่ทำการสกัดข้างในให้เราแบบอัตโนมัติเพียงเท่านั้น ข้อดีคือ มีปัจจัยต่าง ๆ ที่เครื่องควบคุมให้ อย่างเรื่องอุณหภูมิของน้ำและแรงดัน ส่วนเรื่องปริมาณการสกัด การบดกาแฟ และปัจจัยอื่น ๆ เราก็ต้องจัดการเอง

Automatic Machine (ประเภทอัตโนมัติ)

ประเภทนี้จะมีความคล้ายคลึงกับเครื่องกึ่งอัตโนมัติมาก ที่ต่างกันเพียงแค่ในเรื่องของเวลาที่ใช้ในการสกัด เครื่องแบบอัตโนมัติจะทำการตัดการไหลของน้ำให้ โดยเราสามารถแน่ใจได้ ว่าเอสเพรสโซแต่ละช็อตของเราจะออกมาเท่ากันแน่นอน หลายร้านกาแฟก็เลือกใช้แบบนี้เพื่อความสะดวก

Super-Automatic Machine (ประเภทอัตโนมัติสมบูรณ์)

เครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติสมบูรณ์นี้ เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เครื่องจะทำการชั่งตวงเมล็ดกาแฟ บดเมล็ดกาแฟ อัดกาแฟลงไปในก้านชง จัดการสกัดกาแฟ ควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณน้ำ และเวลาเองแบบอัตโนมัติสมบูรณ์ ในบางเครื่องเรายังสามารถปรับแต่งได้หลายอย่าง อย่างเบอร์บดที่ใช้ หรืออุณหภูมิของน้ำที่ใช้ได้ด้วย ส่วนมากไม่ค่อยเห็นตามร้านกาแฟ นิยมใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศมากกว่า

ความแตกต่าง ของเครื่องชงเอสเพรสโซระบบปั๊ม

เนื่องจากเป็นเครื่องชงกระแสหลัก มีผู้ใช้งานมากและหาซื้อได้ง่ายที่สุด ดังนั้นจึงขอว่าด้วยเรื่องของกลไกและการทำงานภายในกันต่อเลย

Espresso machine mechanic

ในเครื่องชงระบบปั๊มนี้ มีการใช้ปั๊มประเภทที่แตกต่างกันอีกมากมาย ได้แก่ แบบสั่น แบบหมุน และแบบเกียร์ ปั๊มแต่ละแบบก็จะใช้ในเครื่องระบบปั๊มแต่ละประเภทแตกต่างกันไปอีก อย่างปั๊มแบบสั่นนั้นมักจะใช้ในเครื่องชงระบบปั๊มประเภทอัตโนมัติสมบูรณ์ จะให้แรงดันที่ค่อนข้างคงที่ จากเริ่มต้นจะใช้แรงดันอยู่ที่ 4 บาร์ จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นในกระบวนการสกัด จนไปถึง 14-16 บาร์ได้เลยเมื่อสิ้นสุดกระบวนการสกัด การเพิ่มลดแรงดันนี้เป็นสิ่งที่ถูกคำนวณและวางแผนมาแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น การพยายามเพิ่มลดแรงดันอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้รสชาติของเอสเพรสโซออกมาไม่ดี

เครื่องชงที่ค่อนข้างมืออาชีพนั้น ส่วนมากมักจะใช้ปั๊มแบบหมุนและแบบเกียร์ ปั๊มแบบหมุนนั้นจะมีความคงที่สูง แต่ก็ต้องหมั่นเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากยิ่งใช้ก็จะยิ่งเสื่อมสภาพ

ปั๊มแบบเกียร์นั้น จะใช้กับเครื่องชงคุณภาพดีที่สุด บางรุ่นอาจมีการทำงานควบคู่ไปกับปั๊มแบบหมุนได้ด้วย สามารถที่จะควบคุมแรงดันได้อย่างอิสระ เราเพิ่มแรงดันให้มากขึ้นหรือลดลงได้ ทำได้ทั้งปรับมือโดยตรง หรืออาจตั้งโปรแกรมก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บาริสต้าจะตั้งค่าไว้ตามโปรไฟล์ที่ตนเองต้องการและถูกใจ ยิ่งที่มีราคาสูง ยิ่งกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจนแม่นยำมากขึ้น เครื่องชงระบบปั๊มที่มืออาชีพสักหน่อยจะมีวาล์ว 3 ทาง เพื่อทำหน้าที่ปล่อยแรงดันออกมา ให้สามารถดึงช็อตออกมาได้หลายช็อตในเวลาอันสั้น

ถึงแม้ว่าเครื่องแบบอัตโนมัติสมบูรณ์จะดูยอดเยี่ยมมาก แต่อีกสองแบบที่เหลือก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ข้อดีของเครื่องแบบกึ่งอัตโนมัติและแบบอัตโนมัติคือเรื่องของการควบคุมความสม่ำเสมอของกาแฟแต่ละแก้ว ยิ่งเครื่องชงราคาแพงหลายเครื่องที่มักจะมีหม้อน้ำแยกกันระหว่างหม้อต้มและหม้อน้ำที่ทำไอน้ำไว้สตีมนม สามารถที่จะทำให้ผู้ใช้งานควบคุมอุณหภูมิได้ดีขึ้น แถมยังลดโอกาสการดึงช็อตออกมามากเกินไปด้วย

เลือกอย่างไร ให้คุ้มราคา

เรื่องของราคาก็เป็นเรื่องที่มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของคนมาก เครื่องชงแบบปั๊มอาจมีราคาที่แตกต่างกันออกไป เครื่องระบบแรงดันก็มีให้เลือกถึง 3 แบบ และใน 3 แบบก็มีการทำงานของปั๊มที่แตกต่างกันไปอีก แต่หากเราทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานได้แล้ว เราจะสามารถเลือกได้ง่ายขึ้น นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เรื่องของระบบภายในนี่ก็สำคัญมาก

ความแตกต่างใหญ่ ๆ ของแต่ละแบบก็คือในเรื่องของความสม่ำเสมอ เราไม่สามารถที่จะหาเครื่องที่ดีที่สุดได้ แต่ที่จะหาได้คือ เครื่องชงที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด ทั้งในเรื่องของกลไก และเรื่องของราคา จนถึงตอนนี้ ยังมีการพัฒนาเครื่องชงเอสเพรสโซออกมาใหม่มากมาย มีการใช้ส่วนประกอบใหม่ ๆ พัฒนาระบบใหม่ หรือแม้แต่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาคาบคุมมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถหาแบบดีที่สุดได้จริง ๆ

Espresso 2 shots

หากต้องการซื้อจริง สอบถามจากผู้ที่มีความรู้ และพนักงานขายให้ละเอียด หลายครั้งเราเลือกเครื่องที่ไม่ตรงกับลักษณะการใช้งานของเรา แต่เพราะว่าเครื่องนั้นดีไซน์ออกมาถูกใจ ดังนั้นบาลานซ์สองจุดนี้ให้ดีก็น่าจะดีที่สุด และขอให้ได้เครื่องชงกาเอสเพรสโซที่ถูกใจนะครับ